เช็คอาการลูกน้อยเสี่ยงโรคไข้อีดำอีแดง หรือไม่
โรคไข้อีดำอีแดง สามารถพบบ่อยในเด็ก หายเองไม่ได้หากไม่ได้รักษาอย่างถูกต้องอาจทำให้ลูกน้อยมีอาการแย่ลง ควรสังเกตอาการหากลูกน้อยมีไข้ เจ็บคอ จากนั้นเริ่มมีผื่นนูนละเอียดคล้ายกระดาษทราย ต่อมทอนซิลบวมแดง ลิ้นจะมีเยื่อขาวปกคลุม ให้รีบพบแพทย์ แล้วคุณพ่อคุณแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกน้อยเป็นไข้ดีดำอีแดง MommyDaddyLife มีข้อมูลมากฝากค่ะ
โรคไข้อีดำอีแดง คืออะไร
ไข้อีดำอีแดง เป็นโรคโบราณที่อุบัติซ้ำกลับมาใหม่ หลายคนอาจไม่รู้จักและเข้าใจผิด ๆ กันอยู่ จนทำให้เกิดโรคลุกลามและแทรกซ้อนได้
ไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) คือ โรคซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “สเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ” (group A streptococcus) หรือ “สเตรปโตค็อกคัส ไพโอจีนัส” (Streptococcus pyogenes) มีส่วนน้อยเกิดจากเชื้อสแตฟีโลค็อกคัส (Staphylococcus) โดยเชื้อสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอนี้จะมีการสร้างสารชีวพิษ (Toxin) ออกมา ได้แก่ อิริโทรเจนิกท็อกซิน (Erythrogenic toxin) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ไพโรเจนิกเอกโซท็อกซิน (Pyrogenic exotoxin ชนิด A, B และ C) ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดผื่นในไข้อีดำอีแดง
รูปภาพจาก www.medthai.com
โดยโรคนี้พบได้ในเด็กอายุระหว่าง 5-15 ปี ทั้งนี้ ผู้ป่วยไข้อีดำอีแดงจะมีผื่นสีแดงขึ้นตามผิวหนังเกือบทั่วร่างกาย รวมถึงมีไข้สูง และมีอาการเจ็บคอเกิดขึ้นร่วมด้วย โรคไข้อีดำอีแดงถือเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งสำหรับผู้ป่วยเด็ก ไม่สามารถหายเองได้ และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจทำให้อาการแย่ลงจนส่งผลร้ายแก่หัวใจ ไตและอวัยอื่นๆ ทั้งนี้แพทย์อาจใช้วิธีการรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ร่วมกับให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนรักษาตัวที่บ้านก็จะช่วยบรรเทาอาการได้
โรคนี้ติดต่อได้อย่างไร

อาการของโรคไข้อีดำอีแดง
สัญญาณบ่งบอกถึงโรคไข้อีดำอีแดงประกอบไปด้วยอาการปวดศีรษะ เจ็บคอ คอแดงและในบางครั้งมีรอยสีเหลืองหรือสีขาวขึ้นในลำคอ ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต มีปัญหาในการกลืนอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีไข้สูง (ราว ๆ 38.3 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่า) บริเวณลิ้นและต่อมรับรสบนลิ้นจะนูนแดงอย่างชัดเจนและปลายลิ้นจะมีลักษณะคล้ายผิวของผลสตรอว์เบอร์รี่ นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ด้วย เช่น หน้าแดง ผดผื่นขึ้นตามร่างกาย และสีลิ้นเปลี่ยนสีเป็นสีแดงหรือขาว ไข้อีดำอีแดงจะแสดงอาการภายใน 1 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม อาการหลักของไข้อีดำอีแดงประกอบด้วย
- ผื่นไข้อีดำอีแดง มักเริ่มขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังเริ่มมีไข้ แต่ในบางกรณีผื่นอาจขึ้นเป็นอาการแรกเลยก็ได้ โดยผื่นมักขึ้นที่บริเวณท้อง หน้าอก หรือบริเวณรอบคอ แล้วกระจายไปทั่วลำตัว แขน และขา รอยผื่นอาจมีสีชมพูหรือแดง และจะแดงมากเป็นพิเศษตามจุดที่เป็นข้อพับ เช่น ข้อศอก หรือรักแร้ นอกจากนี้รอยผื่นยังให้สัมผัสคล้ายกับกระดาษทราย (สามารถสังเกตได้ง่ายในผู้ป่วยที่มีผิวสีเข้ม) หรือผื่นมีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ มองคล้ายหนังห่าน (Goose-pimple Appearance) หากใช้แก้วกดทับบริเวณผื่นจะพบว่ารอยผื่นแดงเหล่านั้นกลายเป็นสีขาว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผื่นจะขึ้นอยู่ราว 3-4 วัน ก่อนจะเริ่มลอกออกเป็นขุยหรือเป็นแผ่น ไล่จากใบหน้าและลำคอลงมาเรื่อย ๆ จนถึงมือ เท้า ปลายมือ ปลายเท้า
- แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดง ปกติผื่นแดงจะไม่ได้ลามมาที่ใบหน้า แต่แก้มมักจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดคล้ายโดนแดดเผา แต่บริเวณรอบปากจะขาวซีด
- ลิ้นเป็นสีแดง หรือที่เรียกว่าลิ้นสตรอว์เบอร์รี่ (Strawberry Tongue) ลิ้นจะมีลักษณะเป็นตะปุ่มตะป่ำและมีฝ้าขาวขึ้นในช่วงแรก
ลักษณะผื่นจากไข้อีดำอีแดง
ผื่นแดงที่เกิดจากไข้อีดำอีแดงมักประกอบด้วยตุ่มเล็กๆ สีแดงขึ้นหนาแน่น มีความสากเหมือนกระดาษทราย ผื่นแดงจะเริ่มจากลำตัว แขนขา และขาหนีบ หลังจากนั้นจะกระจายไปทั่วตัว
ผื่นนี้จะคงอยู่ประมาณ 5-6 วัน จากนั้นผื่นจะลอกออกเป็นขุย หรือแผ่นบริเวณผิวหนังไล่จากใบหน้า ลำคอ ลำตัว ไปยังปลายมือ และปลายเท้า
รูปภาพจาก www.medthai.com
วิธีแยกผื่นและอาการจากไข้อีดำอีแดงจากโรคอื่นๆ
บางครั้งผื่นจากไข้อีดำอีแดงจากผื่นชนิดอื่นๆ ก็มีความใกล้เคียงกันทั้งลักษณะผื่นและอาการอื่นๆ แต่สิ่งที่จะทำให้นึกถึงโรคอีดำอีแดงมากกว่าโรคอื่น ได้แก่
- ผื่นมีลักษณะเหมือนกระดาษทราย (Sand paper like rash) เนื่องจากมีตุ่มเล็กนูนจำนวนมาก เมื่อลองลูบบริเวณที่มีผื่นจะรู้สึกสากเหมือนสัมผัสกระดาษทราย ส่วนมากจะพบที่บริเวณแขนและหน้าอกมากกว่าบริเวณใบหน้า
- รอบปากซีด เป็นคำที่เรียกกันเล่น ๆ ในทางการแพทย์ หมายถึงมักจะพบว่า บริเวณรอบปากซีดลงเมื่อเปรียบเทียบกับบริเวณหน้าผากและแก้มที่แดงมากขึ้น
- กดแล้วจาง ผื่นแดงๆ นี้จะกดจาง (เมื่อกดที่ตุ่มแดง ผิวบริเวณนั้นจะขาวขึ้น) ต่างกับผื่นจากโรคอื่น (จุดเลือดออก) ที่กดแล้วไม่จาง
- เส้น Pastia เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พบได้บ่อยในไข้อีดำอีแดง โดยจะพบเป็นเส้นสีเข้มที่เกิดขึ้นบนผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณข้อพับแขนทั้งสองข้างซึ่งอาจดูเหมือนบริเวณที่โดนแดดเผา
- ลิ้นสตรอเบอร์รี่ (Strawberry tongue) เป็นอีกสิ่งที่พบได้บ่อย โดยจะพบว่า ลิ้นแดงและบวมมากขึ้น ช่วงแรกจะพบว่า ลิ้นจะมีปื้นสีขาวคลุม เมื่อเปรียบเทียบกับต่อมรับรสที่บวมและแดงมากขึ้นเป็นตุ่มเล็กๆ จะทำให้มีลักษณะเหมือนผลสตรอเบอร์รี่
ไข้และผื่นนี้มักจะพบร่วมกับการมีคอแดงและอักเสบและมีต่อมทอนซิลที่บวมแดง มีหนองคลุมได้ นอกจากนั้นยังทำให้ความอยากอาหารลดลง อ่อนเพลีย และไม่มีแรงได้
อาการแทรกซ้อนที่สำคัญ
การรักษาทำอย่างไร
- รักษาที่ด้วยยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เพนนิซิลิน(Penicillin) อะมอกซิซิลิน (Amoxycillin) หรืออิริโทรมัยสิน (Erythromycin) เป็นเวลา 10 วัน และแม้อาการจะหายไปภายใน 3-4 วันก็ต้องรับประทานยาต่อไปจนครบ 10 วันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคไข้รูมาติกและหน่วยไตอักเสบแทรกซ้อน
- ให้การรักษาตามอาการอื่นๆที่ตรวจพบ แนะนำให้นอนพักผ่อน ดื่มน้ำมากๆ
- ควรกลับมาพบแพทย์เมื่อได้รับการรักษาแล้วกลับเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ได้แก่ มีไข้ร่วมกับอาการเหนื่อยง่าย ปวดข้อ หรือตุ่มหรือก้อนที่ใต้ผิวหนัง หรือมีอาการบวม ปัสสาวะเป็นสีแดงหรือเลือดปน เป็นต้น
การป้องกันทำได้อย่างไร
เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อสเตร็ปโตคอสคัสชนิดเอ การป้องกันการติดเชื้อจึงสามารถทำได้โดยปฏิบัติดังนี้
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ดัวยการรับประทานอาหารที่ประโยชน์ครบ 5 หมู่ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยแต่หากมีความจำเป็นที่ต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาร่วมกับล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือของใช้ของผู้ป่วย
- อย่าใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย โดยเฉพาะของใช้ส่วนตัว เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น
สามารถติดตามข้อมูล #MommyDaddyLife เพิ่มเติมได้ที่
Facebook : mommydaddylifeofficial
TikTok : mommydaddylifeofficial
Youtube : mommydaddylife-MDL
Website : www.mommydaddylife.com