เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ป่วยไข้หวัดใหญ่ ควรดูแลอย่างไร
คุณแม่ตั้งครรภ์ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ มักจะมีอาการรุนแรงกว่าปกติและอาจพบภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากในหญิงตั้งครรภ์ มีการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเช่น ปอด หัวใจ และระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นอาจเกิดโรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม หรือแม้แต่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ภาวะช็อคจากการติดเชื้อ เยื่อหุ้มสมอง เนื้อสมองอักเสบได้ นอกจากนี้อาจเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดหรือทารกเสียชีวิตในครรภ์ก่อนคลอดได้
ไข้หวัดใหญ่อันตรายแค่ไหน?ในคุณแม่ตั้งครรภ์
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นอีกโรคหนึ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะเกิดภาวะปอดอักเสบและอาจเสียชีวิตได้ เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และมีความต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดรุนแรงจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์ที่เพิ่มมากขึ้น เช่น หากติดเชื้อในช่วงอายุครรภ์ 14-20 สัปดาห์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นปอดอักเสบจากไข้หวัดใหญ่ได้ 1.4 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติ แต่หากติดเชื้อหลังอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ขึ้นไป จะมีความเสี่ยงจะเพิ่มเป็น 4.2 เท่าเลยทีเดียว
พบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นไข้หวัดใหญ่มีโอกาสที่จะต้องนอนในโรงพยาบาลมากกว่าหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์และเป็นไข้หวัดใหญ่ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการติดเชื้อในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์จะทำให้เสี่ยงต่อภาวะแท้งและทารกเสียชีวิตได้ และหากติดในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดและถุงน้ำคร่ำรั่วได้เช่นกัน
ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ต่างกันอย่างไร ?
ไข้หวัดใหญ่ (influenza) และไข้หวัด (Common cold) มีลักษณะอาการคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างของวิธีการรักษาความรุนแรงของรอยโรค ซึ่งสามารถสังเกตได้ คือ
โรคไข้หวัดใหญ่
-
- ไข้สูง และนานกว่า 3-4 วัน ขึ้นไป
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอ่อนเพลียตามตัวมาก และอาจนานเป็นสัปดาห์
- มีอาการเจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ระยะเริ่มแรก
- ในเด็กสามารถพบอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
- พบภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน ภาวะร่างกายขาดน้ำ
โรคไข้หวัด
-
- ไม่มีไข้ หรือ ไข้ต่ำ ๆ เมื่อทานยาลดไข้ 1-2 วัน ก็หาย
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอ่อนเพลียพบบ้างเล็กน้อย แต่เป็นในระยะสั้นๆ
- มีอาการเจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ระยะหลัง
- ไม่พบอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
วัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ในคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถให้ยาต้านไวรัสตัวเดียวกันกับคนปกติได้ แต่ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง โดยตัววัคซีนผลิตจากเชื้อไวรัสที่ถูก inactivate แล้วจึงสามารถให้อย่างปลอดภัยได้ในสตรีตั้งครรภ์และสามารถให้ได้ในทุกไตรมาสของการตั้งครรภ์โดยไม่มีรายงานว่าทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ แต่โดยทั่วไปจะพิจารณาให้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์เป็นต้นไปเพื่อความปลอดภัยสูงสุดต่อลูกน้อยในครรภ์
แนะนําให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยต้องเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (ส่วนวัคซีนชนิดเชื้อเป็น ซึ่งยังไม่มีในประเทศไทย ถือเป็นข้อห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์) โดยแนะนําให้ฉีดได้ในทุกช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งนอกจากจะป้องกันไข้หวัดใหญ่ในคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นยังผ่านรกจากแม่มาสู่ลูกในครรภ์ด้วย ทําให้เมื่อคลอดออกมาลูกจะมีภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่แรกเกิดโดยไม่ต้องฉีดวัคซีน เพราะปกติแล้วจะเริ่มให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป การได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในคุณแม่ตั้งครรภ์จึงเป็นการได้ประโยชน์ถึง 2 ต่อ หญิงตั้งครรภ์ได้รับประโยชน์โดยตรง ส่วนลูกได้รับประโยชน์โดยอ้อม
ภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะลดต่ำลงตามธรรมชาติหลังจากผ่าน 6-12 เดือนไปแล้ว ดังนั้นควรฉีดวัคซีนทุกปี เนื่องจากระยะฟักตัวของโรคไข้หวัดใหญ่สั้นมาก จําเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันสูงมากพอขณะที่ได้รับเชื้อเข้ามาในร่างกาย การฉีดวัคซีนปีละครั้งจะทําให้ระดับภูมิคุ้มกันสูงพอที่จะป้องกันโรคได้
“แนะนํา ให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ในทุกช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ โดยนอกจากจะป้องกันไข้หวัดใหญ่ในคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นยังผ่านจากรกแม่มาสู่ลูกในครรภ์ด้วย”
สามารถติดตามข้อมูล #MommyDaddyLife เพิ่มเติมได้ที่
Facebook : mommydaddylifeofficial
TikTok : mommydaddylifeofficial
Youtube : mommydaddylife-MDL
Website : www.mommydaddylife.com