Social Share

สัญลักษณ์ในวันคริสต์มาสมีอะไรบ้าง?

เทศกาลคริสต์มาส เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญต่อชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟและต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม MommyDaddyLife มีข้อมูลเกี่ยวกับสัญลักษณ์วันคริสต์มาสที่ควรรู้ เพื่อคลายความสงสัยมาให้ค่ะ

สัญลักษณ์วันคริสต์มาส (Christmas Day Symbols)

เนื่องในเดือนธันวาคมมีวันสำคัญที่ผู้คนทั่วโลกโดยเฉพาะผู้นับถือศาสนาคริสต์ให้ความสำคัญ คือ วันคริสต์มาส (Christmas Day หรือ X’ Mas Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวันคล่้ายวันประสูติของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ โดยส่งบุตรชายคือ “พระเยซู” ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเองโดยชาวคริสต์ได้มีการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสด้วยการสังสรรดื่มกินกันภายในครอบครัวและเพื่อนฝูง พร้อมทั้งมีการประดับไฟต้นคริสต์มาส ร้องเพลง และมอบของขวัญให้แก่กัน สำหรับการตกแต่งประดับประดาต้นไม้หรือสถานที่ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้านของชาวคริสต์ในช่วงเทศกาลดังกล่าว จะมีสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาสที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน ความหมาย ประเพณีและความเชื่อที่เกี่ยวข้องอย่างแพร่หลาย มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

Santa Claus (ซานตาคลอส)

เป็นสิ่งแรก ๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรกคือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลาส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาคลอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี

          นักบุญนิโคลาสนั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็ก ๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็ก ๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปีติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

The Christmas Wreath

การแขวนพวงมาลัยไว้ที่หน้าประตูบ้านนั้นเป็นประเพณีที่นิยมกระทำกันในช่วงเทศกาลที่มีความสำคัญ รวมถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสด้วย พวงมาลัยคริสต์มาสนั้นถูกร้อยด้วยโบสีแดงซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรื่นเริง ในขณะที่ใบไม้สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่เป็นนิรันดร์ซึ่งจะแสดงถึงความมีศรัทธาต่อวันประสูติของพระเยซู รูปร่างวงกลมของพวงมาลัยเป็นสิ่งเตือนใจให้ระลึกถึงมงกุฏหนามที่อยู่บนศีรษะของพระเยซูซึ่งในช่วงเวลานั้นทหารชาวโรมันได้หัวเราะเยาะและล้อเลียนพระเยซูว่าเป็นเสมือนกษัตริย์ของชาวยิว อีกเหตุผลหนึ่งที่มีการใช้พวงมาลัยคริสต์มาสเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองต่อเทพเจ้า BACCHUS ซึ่งผู้ที่ศรัทธานั้นเชื่อว่าพระองค์นั้นได้สวมมงกุฏทรงกลมที่ทำมาจากต้นไอวี่

จุดประสงค์อีกอย่างของพวงมาลัยคริสต์มาสในส่วนที่เป็นสีเขียวนั้น ได้ถูกเชื่อว่าจะสามารถช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่วร้ายได้ ซึ่งช่วงเวลานี้มักถูกคิดว่าเป็นช่วงที่พลังความชั่วร้ายมีมากที่สุดในรอบปี ในช่วงยุคกลางผลสีแดงของต้นฮอลลี่ได้ถูกเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่คอยขับไล่พวกแม่มดให้ออกไปจากบ้าน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมต้นฮอลลี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล และนำความโชคดีมาให้กับผู้ที่จัดทำพวงมาลัย

 

🕯️ เทียนและพวงมาลัย

พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้ หมายถึง ชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมนี ได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาล เพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียน 1 เล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไป-มาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพลังอันชั่วร้ายได้

 

The Christmas Tree (ต้นคริสต์มาส)

นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิลและขนมปัง เพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษ ที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาใต้ต้นโอ๊กโดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็ก ๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาสหมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด รวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

 

The Chimney (ปล่องไฟ)

เหตุผลที่ซานตาคลอสที่ลงมาตามปล่องไฟนั้นต้องย้อนกลับไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อครั้งที่ผู้คนในสมัยนั้นยังอาศัยอยู่ในใต้ดิน ซึ่งแต่ละบ้านจะมีรูควันเป็นทางเข้าออกจากบ้าน หลังจากนั้นไม่นาน รูควันนั้นก็ได้ถูกแทนที่ด้วยปล่องไฟ จึงทำให้ซานตาคลอสต้องเข้าออกทางปล่องไฟด้วย

 

Holly (ต้นฮอลลี่)

ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่าสีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงสดของต้นฮอลลี่เป็นสัญลักษณ์ของหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่มีต่อความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฎหนามที่ทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์

🔔 Bells (ระฆังวันคริสต์มาส, กระดิ่งวันคริสต์มาส)

เสียงระฆังในวันคริสต์มาส คือ การเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาส เพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวานนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข

Stockings (ถุงเท้า)

จากที่นักบุญนิโคลาสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง

Poinsettia (ดอก Poinsettia หรือดอกไม้คริสต์มาส)

ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจน ๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใด ๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส

 

Christmas Rose (ดอกคริสต์มาส)

มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะ เดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงเลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจ จึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาส นั่นเอง

 

Mince Pies (พาย)

พายนั้นได้มีการเริ่มทำในรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านนอกของพายจะมีความกรอบโดยจะมีรูอยู่ตรงกลาง พายได้ถูกเปรียบให้เป็นสัญลักษณ์เปลพระเยซูคริสต์ ซึ่งในตอนต้นที่มีการทำพายนั้น จะมีขนมอบรูปตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ วางไว้บนรูข้างบนของพาย ซึ่งถูกสมมติให้เป็นพระเยซูเมื่อยังทรงพระเยาว์ เมื่อระยะเวลาผ่านไป ผู้คนก็เริ่มลืมถึงขนบธรรมเนียมนี้และเรียกชื่อผิด ๆ กันไป อย่างไรก็ตาม Mince pie ยังคงเป็นอาหารเลิศรสที่ยังได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน

 

Christmas Colors (สีประจำวันคริสต์มาส)

สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาส ประกอบด้วย

สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาคลอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาติ หมายถึง ความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือ แสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฏบนเสื้อคลุมนางฟ้า เคราและชายเสื้อของซานตาคลอส

สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว

 

⛪ การทำมิสซาเที่ยงคืน

การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิสซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และสัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืนในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส

 

🌟 The Star (ดาว)

ดาว ในความหมายของชาวคริสเตียน หมายถึง การแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “The bright and morning star” มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่าดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

Baubles and Apples (เครื่องประดับและแอปเปิ้ล)

ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมายังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ

 

🎁 Christmas Gifts (ของขวัญวันคริสต์มาส)

ประวัติความเป็นมาของการแลกเปลี่ยนของขวัญวันคริสต์มาสนั้นต้องย้อนกลับไปถึงประเพณีการให้ของขวัญในยุคโรมันซึ่งทำกันในเมือง Saturnaliaการแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้นเริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง ยางสนที่มีกลิ่นหอม และยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์

 

Christmas Song (เพลงวันคริสต์มาส)

เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาละติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุนให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

เพลงคริสต์มาสแบบใหม่นี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาละติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ. 1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบันคือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาละติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมนี และประเทศอังกฤษ เป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาสของปี ค.ศ. 1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

เหตุผลที่ว่าทำไมผู้คนถึงเริ่มร้องเพลงในช่วงคริสต์มาสนั้นมาจากการที่นางฟ้าทั้งหลายได้ร้องเพลงประสานเสียงหลังจากที่ปรากฎกายลงมาต่อกลุ่มคนเลี้ยงแกะที่เมืองเบธเลเฮม เพื่อป่าวประกาศว่าพระเยซูได้ประสูติลงมายังโลกนี้แล้ว

 

Carol singing

ในความหมายของคำว่า carol ในปัจจุบันนั้นมีความหมายที่แตกต่างจากแต่ก่อนมาก ครั้งหนึ่ง carol นั้นเป็นเพลงที่ใช้ในการเต้นรำที่มีการแสดงหลายครั้งต่อปี ผู้คนจะเต้นรำเป็นวงกลมและจับมือกันร้องเพลง

การเต้นดังกล่าวได้เตือนใจให้ผู้ดูการแสดงนึกถึง Coronet (เครื่องประดับทรงกลมคล้ายมงกุฏ) ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า Carol ในที่สุดชื่อการเต้นรำก็ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นบทเพลง Carols ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 Carols จะถูกนำไปใช้ร้องในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเท่านั้น

ต่อมาการขับร้องเพลง Christmas carol จะถูกร้องโดยบาทหลวงและผู้ที่นับถือศาสนาในโบสถ์เท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน Christmas carol ก็ได้กลายเป็นที่นิยมของประชาชนโดยทั่วไป และในเวลาต่อมาก็ได้ขับร้องกันตามถนนหนทางและสถานที่ต่างๆ ทั่วไป

** บทเพลง Carol จะบอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดของพระเยซูผ่านทางบทเพลง

 

คำอวยพรวันคริสต์มาส

ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X’mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า “สันติสุขและความสงบทางใจ” คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้ได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่ได้รับยกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้เริ่มมาจากกรุงโรม ในศตวรรษที่ 4 และค่อย ๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

.
ขอขอบคุณข้อมูล : kapook.com , sanook.com , educatepark.com , mahidol.ac.th
———–

สามารถติดตามข้อมูล #MommyDaddyLife เพิ่มเติมได้ที่

Website: mommydaddylife.com

Facebook: Mommydaddylifeofficial

TikTok: Mommydaddylife

YouTube: MommyDaddyLife